วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนประจำวันที่ 1 เมษายน 2559



Recorded Diary 12

**ลากิจ* คัดลอดมาจากนางสาวเปมิกา ชุติมาสวรรค์**


knowledge :



การจัดประสบการณ์.. .การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย


รูปแบบการจัดการศึกษา

- การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)

-การศึกษาพิเศษ (Special Education)
-การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
-การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education)


การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
      *** เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา


ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
-การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป-มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
-ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
-ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษพิเศษร่วมมือกัน

การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
-การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา-เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ-เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ






Wilson , 2007
การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน

 "Inclusive Education is Education for all, 

It involves receiving people 
 
at the beginning of their education, 
 
with provision of additional services 
needed by each individual"



สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม

-เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน 
ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
-เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

บทบาทครูปฐมวัยในห้องเรียนรวม

ครูไม่ควรวินิจฉัย
- การวินิจฉัย หมายถึง การตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง- จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก-เกิดผลเสียมากกว่าผลดี-ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ-พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา-พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว-ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
-ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ-ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้-ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้-พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
การบันทึกการสังเกต-การนับอย่างง่ายๆ นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม-กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง-ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม-การบันทึกต่อเนื่อง ให้รายละเอียดได้มาก-เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง-โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ-การบันทึกไม่ต่อเนื่อง บันทึกลงบัตรเล็กๆ-เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง






กิจกรรมที่ทำในห้อง 
     วาดภาพดอกบัวตามสิ่งที่เราเห็นเเละอธิบายภาพดอกบัว
ซึ่งกิจกรรมนี้เปรียบเหมือนการที่เรามองเด็กพิเศษว่าเรามองเด็กอย่างไร เห็นอะไรในตัวเด็ก








Assessment : 

Place = ห้องเรียนสะอาด เย็นสบาย  อุปกรณ์สื่อการเรียนใช้ได้สะดวก

My self = มาเรียนตรงเวลา แต่งกายถูกระเบียบตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน

Classmate = มาเรียนตรงต่อเวลาเพื่อนทุกคนตั้งใจฟังที่อาจารย์สอนเป็นอย่างดี


Instructor = อาจารย์มาสอนตรงต่อเวลา สอนเข้าใจง่ายสนุก แต่งกายสุภาพ  และพูดจาไพเราะ
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น